สระบุรี ใช้ “สมาร์ทบัส” สายแรก เม.ย.62
ภัยพิบัติ เกิดกันบ่อยมาก แนวทางการวางผังเมืองจะช่วยลดผลกระทบจากภัยพิบัติ จริงหรือเปล่า? ลองอ่านบทความนี้กันก่อน
บทความ : แนวทางการวางผังกายภาพเมืองเพื่อลดผลกระทบจากภัยพิบัติ ตอนที่ 1
บทความโดย ฐาปนา บุณยประวิตร
อุปนายกสมาคมการผังเมืองไทย
ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยการเติบโตอย่างชาญฉลาดประเทศไทย
17 พฤษภาคม 2555
thapana.asia@gmail.com/ http://www.asiamuseum.co.th/
www.smartgrowthasia.com
บทนำ
ภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศที่กำลังเกิดขึ้นเป็นต้นเหตุให้เกิดภัยพิบัติหลากหลายชนิด และแนวโน้มจะมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันกลุ่มประเทศตะวันตกได้ตื่นตัวคิดค้นวิธีการแก้ไขปัญหา และพยายามลดสาเหตุของโลกร้อนด้วยการปรับปรุงกายภาพเมืองให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นอกจากนั้นยังได้แสวงหาวิธีการเพิ่มศักยภาพของกายภาพเมืองเพื่อให้มีความสามารถในการปกป้องตัวเองจากภัยพิบัติ สำหรับประเทศไทยและประเทศในกลุ่มอาเซียนแม้จะมีการกล่าวถึงปัญหานี้อยู่มาก แต่ยังมองไม่เห็นความพยายามอย่างจริงจังในการลดสาเหตของปัญหา รวมทั้งยังไม่พบภาพร่างแนวทางที่มีศักยภาพในการปรับปรุงกายภาพเมืองให้รองรับต่อภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นทางเลือกในการปรับปรุงผังกายภาพในการลดผลกระทบจากภัยพิบัติ วันนี้จึงขอนำบางเกณฑ์และบางกลยุทธ์จากแนวคิดการเติบโตอย่างชาญฉลาด (Smart Growth) และแนวคิดลัทธิชุมชนเมืองยุคใหม่ (New Urbanism หรือ CNU) แสดงให้เห็นโอกาสในการบรรเทาปัญหาและนำเสนอแนวทางเพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องพิจารณาต่อไป
ภาพน้ำท่วมกรุงเทพมหานคร ปี พ.ศ.2554
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
การปรับปรุงกายภาพเมืองเพื่อลดผลกระทบจากภัยพิบัติ แบ่งเป็น 2 ช่วงคือ ช่วงแรกเป็นการวางแผนการปรับปรุงกายเมืองก่อนการเกิดภัยพิบัติ (Pre-Disaster) และช่วงที่สอง การปรับปรุงกายภาพเมืองหลังเกิดภัยพิบัติ (Post-Disaster) โดยแนวทางการปรับปรุงกายภาพก่อนการเกิดภัยพิบัติซึ่งจะกล่าวในบทความตอนที่ 1 นั้น ประกอบด้วยสาระสำคัญ 4 เรื่องได้แก่
1) การวางแผนยุทธศาสตร์โครงสร้างทางกายภาพ
2) การวางแผนปรับปรุงการใช้ประโยชน์ที่ดิน
3) การสร้างข้อกำหนดกายภาพเมืองตามแนวทาง Form-Based Code และ
4) การวางแผนด้านที่อยู่อาศัย (U.S. Department of Housing and Urban Development, 2012) รายละเอียดสรุปได้ดังนี้
การวางแผนยุทธศาสตร์โครงสร้างทางกายภาพ
CNU ได้พัฒนา The Transact ขึ้นเพื่อให้นักผังเมืองแบ่งส่วนประกอบทางภูมิศาสตร์ออกเป็น 6 ส่วนโดยกำหนดให้พื้นที่ธรรมชาติ (T1) และพื้นที่เกษตรกรรม (T2) เป็นพื้นที่สงวนรักษา ส่วนพื้นที่ตั้งแต่ย่านชานเมือง (T3) พื้นที่พาณิชยกรรมผสมผสานที่อยู่อาศัย (T4) พื้นที่พาณิชยกรรมใจกลางเมือง (T5) และพื้นที่ใจกลางเมือง (T6) เป็นพื้นที่อนุญาตให้พัฒนา ทั้งนี้ความเข้มข้นในการสงวนรักษาและพัฒนาในแต่ละบริเวณขึ้นอยู่กับบริบทของพื้นที่ ส่วนประกอบทางภูมิศาสตร์ที่กล่าวถึงนี้รัฐต้องนำไปเป็นข้อกำหนดในผังเมืองรวมด้วยการกำหนดขอบเขตพื้นที่แต่ละบริเวณให้เด่นชัด ห้ามการรุกล้ำพื้นที่ในเขต T1 และ T2 เนื่องจากจะเกิดสภาพขาดความสมดุล สำหรับเกณฑ์การสงวนรักษาพื้นที่ของการเติบโตอย่างชาญฉลาดนั้น ได้กำหนดนโยบายไว้อย่างเด่นชัดในการอนุรักษ์พื้นที่ T1 ตลอดจนการสงวนรักษาและการปรับปรุงฟื้นฟูพื้นที่ T2 ซึ่งเน้นการสร้างระบบการจัดการพื้นที่ธรรมชาติ พื้นที่เกษตรกรรม ที่โล่ง แหล่งน้ำ ปาชายเลน หรือชายหาดซึ่งมีความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้เพื่อให้พื้นที่คงความอุดมสมบูรณ์เป็นพื้นที่กันชนและสามารถรองรับภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ภาพตัวอย่างการแบ่งส่วนประกอบทางภูมิศาสตร์ (The Transact) ของชุมชนบ่อผุด อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ที่มา: บริษัท พิพิธภัณฑ์เอเซีย จำกัด
สำหรับพื้นที่เมืองแม้จะมีบทบาทด้านการอนุรักษ์น้อยกว่าพื้นที่ธรรมชาติและการเกษตร แต่เมืองยังมีภารกิจในการดูแลรักษาโครงข่ายทางธรรมชาติ เช่น แม่น้ำ ลำคลอง หรือพื้นที่รองรับน้ำที่ตั้งในเขตเมืองให้มีความสมบูรณ์ และเชื่อมต่อกับเส้นสายทางธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญ เมืองควรสร้างระบบการจัดการเพื่อขจัดปัญหาการรุกล้ำซึ่งกันและกันของโครงข่ายทางกายภาพ เช่น การรุกล้ำทางน้ำโดยโครงข่ายถนน ทางรถไฟ และสาธารณูปโภค หรือการตั้งถิ่นฐานของประชาชน และกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ดังนั้น ยุทธศาสตร์โครงสร้างทางกายภาพที่รัฐต้องระบุในแผนยุทธศาสตร์ จึงได้แก่ 1) การคงความสมบูรณ์ของโครงสร้างทางกายภาพของพื้นที่ทั้งสองบริเวณ 2) การคงความสมบูรณ์ของแหล่งผลิตอาหาร และน้ำสะอาดที่ใช้ได้ทั้งในภาวะปกติและภาวะวิกฤติ 3) การสร้างข้อกำหนดในกฎหมายผังเมืองและกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการปกป้องพื้นที่ธรรมชาติและโครงข่ายให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ตลอดเวลา และ 4) กำหนดให้พื้นที่ทั้งสองเป็นหน่วยสนับสนุนซึ่งกันและกันในภาวะวิกฤติภัยพิบัติ
การวางแผนปรับปรุงการใช้ประโยชน์ที่ดิน
กลยุทธ์การใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อบรรเทาภัยพิบัติตามแนวคิดการเติบโตอย่างชาญฉลาด (U.S. Environmental Protection Agency, 2011) มีดังนี้
ภาพตัวอย่างผังการใช้ประโยชน์ที่ดินของชุมชนละไม อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ที่มา: บริษัท พิพิธภัณฑ์เอเซีย จำกัด
การส่งเสริมความหนาแน่น
แนวคิดทั้งสองมีเกณฑ์สอดคล้องกันในการส่งเสริมให้เกิดความหนาแน่นในเขตเมือง ใจกลางย่านในเขตต่อเมืองและเขตชานเมืองโดยพื้นที่ศูนย์ชุมชนต้องมีกิจกรรมการใช้ประโยชน์ที่เข้มข้น ห้ามการกระจัดกระจายของเมืองหรือชุมชนไปยังพื้นที่เกษตรกรรมและพื้นที่ธรรมชาติหรือพื้นที่รองรับน้ำ
ภาพการส่งเสริมความหนาแน่นภายในใจกลางย่านธุรกิจของนิวยอร์ค
ที่มา: New York Architecture, 2010
การกำหนดขอบเขตเมืองหรือชุมชน
เมืองหรือชุมชนจึงต้องมีขอบเขตที่ชัดเจน สามารถแยกขอบเขตของแต่ละย่านหรือชุมชนออกจากกันได้ หรือแยกขอบเขตชุมชนออกจากพื้นที่การเกษตรหรือพื้นที่ธรรมชาติ ในทางทฤษฏีขอบเขตที่เหมาะสมของศูนย์ชุมชนซึ่งจะเกิดความสะดวกในการจัดการภาวะวิกฤติไม่ควรมีเส้นผ่าศูนย์กลางเกินกว่า 1 กิโลเมตร อย่างไรก็ตาม ในทางปฎิบัติขอบเขตชุมชนอาจจะขึ้นอยู่กับลักษณะภูมิประเทศหรือความพร้อมของเครื่องมืออุปกรณ์ในการจัดการก็ได้ สำหรับการจัดการในภาวะวิกฤติจะใช้พื้นที่ขอบเขตเมืองหรือชุมชนที่ได้รับการวางผังแล้วเป็นพื้นที่เป้าหมาย พื้นที่นอกเหนือจากนี้แม้จะอยู่ในภาวะเสี่ยงก็จะถูกจัดความสำคัญในอันดับรอง
ภาพตัวอย่างการกำหนดศูนย์ชุมชนตามแนวทางการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีขนส่งมวลชน (Samui TOD)
ที่มา : บริษัท พิพิธภัณฑ์เอเซีย จำกัด
การใช้ประโยชน์ที่ดินแบบผสมผสม
ภายในพื้นที่ศูนย์ชุมชนต้องจัดให้มีกิจกรรมการใช้ประโยชน์ที่ดินแบบผสมผสาน โดยมีหน่วยบริการสำคัญๆ เช่น ตลาดสด ร้านค้าปลีก สถานีขนส่ง โรงเรียน หรือสถาบันการศึกษา วัด โบสถ์หรือมัสยิด ผสมผสานและล้อมรอบด้วยที่พักอาศัย ฯลฯ เหตุที่ต้องผสมผสานกิจกรรมเพราะต้องการให้เกิดความคุ้มค่าในการใช้พื้นที่ และต้องการให้ศูนย์ชุมชนเป็นหน่วยหนึ่งของเศรษฐกิจที่สามารถพึ่งพาตนเองได้ในภาวะวิกฤติ เป็นสถานที่สร้างงานสร้างรายได้แก่ประชาชน
ภาพการใช้ที่ดินแบบผสมผสานของย่าน Brooklyn นิวยอร์ค
ที่มา : Brooklyn Daily Eagle, 2010
การกระชับกลุ่มอาคารในศูนย์กลางชุมชน
ผังเมืองและข้อกำหนดท้องถิ่นต้องอนุญาตให้ก่อสร้างอาคารในแนวสูงในลักษณะกลุ่มอาคารได้เพื่อเพิ่มมูลค่าที่ดินและทรัพย์สิน ทั้งยังก่อให้เกิดความคุ้มค่าในการใช้ที่ดิน โดยกลุ่มอาคารดังกล่าวต้องออกแบบให้เชื่อมต่อกันกับพื้นที่สาธารณะ สถานีขนส่ง ตลาด ย่านพาณิชยกรรม และโรงพยาบาลหรือศูนย์สาธารณสุข ฯลฯ กลุ่มอาคารแบบกระชับภายในใจกลางเมืองซึ่งผสมผสานกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการพักอาศัยจะทำให้สมาชิกในชุมชนพึ่งพาตนเองได้ในภาวะวิกฤติ
ภาพแสดงการกระชับกลุ่มอาคารและส่งเสริมอาคารแนวสูงบริเวณใจกลางชุมชน
ที่มา: .U.S.EPA, Smart Growth National Award, 2009
การสร้างกายภาพทางเดินให้เชื่อมต่อกัน
การเติบโตอย่างชาญฉลาดให้การส่งเสริมการเชื่อมต่อระหว่างอาคารและบล๊อกที่ดินด้วยโครงข่ายทางเดินที่มีความสมบูรณ์ ในภาวะวิกฤติที่ขาดแคลนน้ำมันและไฟฟ้า โครงข่ายทางเดินจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการสัญจรและการเชื่อมต่อกับสถานที่ต่างๆ บางแนวคิดการพัฒนาเมืองได้ใช้ความสมบูรณ์ของโครงข่ายทางเดินในเมืองเป็นเครื่องชี้วัดความสำเร็จของการวางผัง และเป็นเครื่องบ่งชี้ประสิทธิภาพในการจัดการช่วงภาวะวิกฤติ
ภาพทางเดินขนาดใหญ่ (Pedestrian Mall) ถูกวางแผนให้เชื่อมต่อเป็นโครงข่ายในย่านการค้าใจกลางกรุง Helsinki
ที่มา: Distraction, Reflections, 2011
การสร้างข้อกำหนดกายภาพเมืองตามแนวทาง Form-Based Code
รัฐต้องสนับสนุนให้ชุมชนและนักผังเมืองร่วมกันออกแบบกายภาพเมืองและจัดทำข้อกำหนดรายละเอียดการพัฒนากายภาพเมืองหรือ Form-Based Code-FBCs ที่ลงลึกถึงประเภท รูปทรง และขนาดของมวลอาคาร ซึ่งนอกจากประชาชนจะมองเห็นภาพร่างทัศนียภาพและสภาพแวดล้อมของชุมชนในอนาคตได้แล้ว นักผังเมืองหรือนักออกแบบชุมชนเมืองยังสามารถนำเอารูปแบบด้านกายภาพไปจัดทำแบบจำลองภาวะวิกฤติกรณีเกิดภัยพิบัติ เช่น การทำแบบจำลองสภาวะน้ำท่วม (Flood Simulation) ได้อีกด้วย ซึ่งข้อมูลที่ได้อาจนำไปปรับปรุง FBCs ให้มีความสมบูรณ์สอดคล้องกับการบรรเทาปัญหาภัยพิบัติมากยิ่งขึ้น
ภาพจำลองสถานการณ์น้ำท่วมในกรุงบริสเบล ออสเตรเลีย
ที่มา : www.aamgroup.com
การวางแผนด้านที่อยู่อาศัย
U.S. Department of Housing and Urban Development ได้กำหนดกลยุทธ์การวางแผนที่อยู่อาศัยก่อนเกิดภัยพิบัติไว้ 3 ขั้นตอนคือ 1) การเลือกรูปแบบและสถานะของที่อยู่อาศัย ได้แก่ การศึกษาเพื่อหารูปแบบบ้าน ประเภทวัสดุ และเทคนิคการก่อสร้างที่เหมาะสมกับสภาพของภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต 2) การประมาณราคาความสูญเสียของที่อยู่อาศัยได้แก่ การประมาณความเสียหายที่อาจเกิดจากภัยพิบัติซึ่งให้คาดการณ์ตามแบบจำลองที่สร้างขึ้น โดยกำหนดระดับความสูญเสียไว้ 3 ระดับคือ มาก ปานกลาง และน้อย ทั้งนี้ หน่วยงานที่รับผิดชอบในท้องถิ่นต้องเตรียมความพร้อมด้านงบประมาณเพื่อรองรับหากเกิดปัญหาขึ้น 3) ทรัพยากรและระบบการผลิตวัสดุอุปกรณ์หลังภัยพิบัติ ได้แก่ การเตรียมการจัดหาวัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์หลังภัยพิบัติ เหตุที่ต้องศึกษาและจัดเตรียมแนวทางการผลิตวัสดุอุปกรณ์ไว้ก่อนเนื่องจาก หากวิกฤติการณ์เกิดขึ้นในวงกว้าง ท้องถิ่นอาจไม่สามารถจัดหาวัสดุและอุปกรณ์มาใช้ได้ หรือราคาของวัสดุอุปกรณ์อาจจะสูงกว่างบประมาณที่มีอยู่ ดังนั้น การเตรียมการวางแผนการจัดหาไว้ก่อนจึงมีความจำเป็น
ภาพน้ำท่วมที่พักอาศัยบริเวณถนนจรัลสนิทวงศ์ กรุงเทพมหานคร ปี พ.ศ.2554
ที่มา : Baan BangAor Coffee, 2554
สรุป
แม้การวางผังทางกายภาพเมืองจะไม่สามารถหยุดยั้งความเสียหายทั้งหมดที่เกิดจากภัยพิบัติได้ทั้งหมด แต่การเตรียมการด้านกายภาพไว้ก่อนอาจช่วยบรรเทาและลดความสูญเสียที่เกิดขึ้นได้ ในบทความตอนต่อไป จะกล่าวลงลึกในรายละเอียดโดยจะชี้ให้เห็นวิธีการปรับปรุงฟื้นฟูกายภาพจำแนกตามประเภทของภัยพิบัติ ซึ่งจะทำให้ผู้อ่านมีความเข้าใจประโยชน์ที่ได้จากการวางผังทางกายภาพมากยี่งขึ้น
[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row]
เอกสารอ้างอิง
U.S. Environmental Protection Agency, Planning for Disaster Debris, Available from;
http://www.epa.gov/osw/conserve/rrr/imr/cdm/pubs/disaster.htm, May 13, 2012
U.S. Department of Housing and Urban Development, Pre-Disaster Planning for Permanent Housing Recovery, Available from: www.huduser.org/portal/publications/Pre_DisasterPlanningVol1.pdf., May 13, 2012
Related posts