ศูนย์เศรษฐกิจระยองในฐานะ”ศูนย์กลางรอง”การขนส่งอีอีซี
บทความโดย ฐาปนา บุณยประวิตร นายกสมาคมการผังเมืองไทย
thapana.asia@gmail.com
ระยองเป็นจังหวัดที่มีผลิตภัณฑ์มวลรวมสูงเป็นอันดับสองรองจากกรุงเทพมหานคร ด้วยการเป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรม ศูนย์การขนส่งและขนถ่ายสินค้าอุตสาหกรรม พื้นที่การเกษตร และศูนย์เศรษฐกิจพาณิชยกรรมขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นิคมอุตสาหกรรมซึ่งมีจำนวนมากถึง 15 แห่ง คิดรวมนิคมอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม ชุมชนอุตสาหกรรม และสวนอุตสาหกรรม ทำให้ระยองเป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่เติบโตสูงมาโดยตลอด ยิ่งได้รับการประกาศให้เป็นพื้นที่พัฒนาพิเศษตามพระราชบัญญัติอีอีซีด้วยแล้ว ระยองจึงมีสภาพเป็นทำเลทองของการลงทุนและการบริการภาคอุตสาหกรรมหลักของประเทศไปโดยปริยาย หากอีอีซีใช้เกณฑ์การเติบโตอย่างชาญฉลาด (Smart Growth) เป็นกรอบแนวคิดการออกแบบยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่ เมืองระยองจะถูกกำหนดให้มีบทบาทที่โดดเด่น 2 ด้าน โดย
บทบาทด้านแรก ระยองจะต้องออกแบบปรับปรุงฟื้นฟูศูนย์เศรษฐกิจให้มีบทบาทเป็นหน่วยพาณิชยกรรมสนับสนุนภาคบริการ ภาคการค้า และภาคการลงทุนที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรม
บทบาทด้านที่สอง ระยองจะต้องออกแบบปรับปรุงฟื้นฟูและลงทุนโครงสร้างพื้นฐานให้มีบทบาทเป็นศูนย์กลางการคมนาคมและขนส่งระดับรองที่ได้มาตรฐานของอีอีซี
สำหรับศูนย์กลางคมนาคมและขนส่งหลักของอีอีซีนั้น ได้แก่ บริเวณจุดเชื่อมต่อการเดินทางของท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา โดยมีศูนย์กลางคมนาคมและขนส่งรอง จำนวน 4 แห่งเป็นโครงข่ายสนับสนุน ประกอบด้วย
ศูนย์แรกพัทยา ที่กำหนดเป็นพื้นที่ให้บริการการเดินทางและการท่องเที่ยวของอำเภอบางละมุงและเมืองพัทยา
ศูนย์ที่สองศรีราชา ได้กำหนดพื้นที่ให้บริการเดินทางและขนส่งสินค้าของอำเภอศรีราชา แหลมฉบัง และพื้นที่อุตสาหกรรมในบริเวณต่อเนื่อง
ศูนย์ที่สามฉะเชิงเทรา กำหนดพื้นที่ให้บริการเดินทางและขนส่งสินค้าของอำเภอเมือง อำเภอบ้านโพธิ์ อำเภอพนมสารคาม อำเภอสนามชัยเขตและพื้นที่ต่อเนื่อง
ศูนย์ที่สี่ ได้แก่ ศูนย์ระยอง ซึ่งกำหนดพื้นที่ให้บริการเดินทางและขนส่งสินค้าแก่บริเวณศูนย์เศรษฐกิจบ้านฉาง ศูนย์เศรษฐกิจมาบตาพุด ศูนย์เศรษฐกิจศูนย์การค้าแหลมทอง ศูนย์เศรษฐกิจเมืองระยองและเทศบันเทิง ศูนย์เศรษฐกิจศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่าระยอง พร้อมด้วยศูนย์เศรษฐกิจย่อยบ้านค่ายและปลวกแดง
ในการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่จะต้องให้ความสำคัญกับการออกแบบปรับปรุงฟื้นฟูพร้อมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั้งในตัวศูนย์เศรษฐกิจและระบบการเชื่อมต่อระหว่างศูนย์กลางคมนาคมและขนส่งหลักและรองให้สมบูรณ์ครบถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การออกแบบปรับปรุงรูปแบบของย่าน การใช้ประโยชน์ที่ดิน การใช้ประโยชน์อาคาร การอนุรักษ์สถาปัตยกรรมดั้งเดิม การออกแบบอัตลักษณ์ด้านสถาปัตยกรรมผังเมืองสำหรับย่านเกิดใหม่ การออกแบบปรับปรุงโครงข่ายการสัญจร ทั้งระบบการสัญจรภายในย่านและระบบการสัญจรเชื่อมต่อระหว่างศูนย์เศรษฐกิจ
ที่สำคัญคือ การออกแบบโครงข่ายการสัญจร (Mobility Network)
ที่ต้องให้ความสำคัญต่อการใช้โครงข่ายการสัญจรสีเขียว (Green Mobility) โดยใช้โครงข่ายการขนส่งทางรางเชื่อมต่อระหว่างศูนย์กลางหลักกับศูนย์กลางรองดังที่ได้กล่าวข้างต้น ซึ่งจะก่อให้เกิดมาตรฐานในพื้นที่พัฒนาพิเศษ เกิดประสิทธิภาพในการให้บริการแก่ภาคการค้า ภาคการลงทุน ภาคพาณิชยกรรม ภาคอุตสาหกรรม และภาคการอยู่อาศัย
ขอบคุณ บทความจาก กรุงเทพธุรกิจ